สโมสร โรม่า หรือคุ้นหูกันในชื่อ เอแอส โรม่า หรือฉายาที่คนไทยรู้จักกันดี นั่นก็คือ หมาป่า เหลืองแดงนั่นเอง เป็นสโมสรที่เก่าแก่แห่ง กรุงโรม ประเทศอิตาลี มีผลงานที่โดดเด่นอย่างมากมาย มีแฟนบอลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ที่จะติดตามผลงานและร่วมแชร์ทีมที่ประทับใจเป็นอย่างมาก
ประวัติ สโมสรโรมา
สโมสรฟุตบอลโรมา (อิตาลี: Associazione Sportiva Roma) เรียกกันในชื่ออย่างย่อว่า อา.เอสเซ. โรมา หรือ โรมา เป็นสโมสรฟุตบอลตั้งอยู่ที่กรุงโรม ในแคว้นลาซิโอ ประเทศอิตาลี โรมาเป็นทีมขนาดใหญ่ทีมหนึ่งของอิตาลี เคยได้แชมป์เซเรียอา 3 สมัย โดยสมัยล่าสุดได้ในฤดูกาล 2000-2001 มีและมีนักเตะที่มีชื่อเสียงคนปัจจุบันคือ ฟรานเชสโก ต๊อตติ กองหน้าตัวเก่ง ซึ่งเป็นชาวโรมโดยกำเนิด และเป็นกำลังหลักของสโมสรมาโดยตลอดตั้งแต่เล่นในสมัยเยาวชน สโมสรฟุตบอลโรมาก่อตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1927 ก่อตั้งขึ้นหลังลาซิโอ ทีมคู่ปรับร่วมเมือง 27 ปี ซึ่งก่อนหน้านั้นในกรุงโรมมีสโมสรฟุตบอลต่าง ๆ อีกมากมาย แต่สโมสรเหล่าโครงสร้างทางการเงินไม่ดีพอ รัฐบาลจึงได้ให้แต่ละเมืองมีสโมสรฟุตบอลหลัก ๆ ได้แค่สโมสรเดียว สโมสรเหล่านั้นจึงรวมตัวกันเป็นสโมสรฟุตบอลโรมาจนถึงทุกวันนี้
หลังจากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการส่งสโมสรเข้าทำการแข่งขัน จนในวันที่ 17 มิถุนายน 2001 สโมสรสามารถเข้าแข่งขันชิงแชมป์และก็ชนะปาร์มามาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรและแฟนบอลอย่างมาก นับเป็นช่วงที่สโมสรประสบความสำเร็จอย่างมาก สโมสร โรม่า เลือกใช้สัญลักษณ์เป็นรูปหมาป่า มีเด็กโรมูลัสและรีมัส ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานการก่อตั้งกรุงโรม โดยมีพื้นหลังเป็นสีน้ำตาลแดง
เกียรติประวัติสโมสรโรมา
ระดับประเทศ
- เซเรียอา
ชนะเลิศ (3): 1941–42, 1982–83, 2000–01
- โกปปาอีตาเลีย
ชนะเลิศ (9): 1963–64, 1968–69, 1979–80, 1980–81, 1983–84, 1985–86, 1990–91, 2006–07, 2007–08
- ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา
ชนะเลิศ (2): 2001, 2007
ระดับทวีปยุโรป
- ยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
รองชนะเลิศ (1): 1983–84
รอบรองชนะเลิศ (1): 2017–18
- อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ
ชนะเลิศ (1): 1960–61
- ยูฟ่าคัพ/ยูฟ่ายูโรปาลีก
รองชนะเลิศ (1): 1990–91
- แองโกล-อินาเลียโนคัพ
ชนะเลิศ (1): 1971–72
ตราสโมสรและสีชุดแข่งขัน
ภาพชุดแข่งขันทีมเยือนชุดใหม่ของ “หมาป่า” โรม่า ทีมในศึกกัลโช่เซเรียอา อิตาลี ปรากฏออกมาให้เห็นในโลกออนไลน์แล้ว หลังจากที่ทางสโมสรเปิดตัวชุดแข่งขันทีมเหย้า ประจำฤดูกาล 2020/21 ออกมาแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยภาพที่นำออกมาเผยแพร่ ว่ากันว่าเป็นชุดทีมเยือนที่จะใช้ในฤดูกาล 2020/21 ซึ่งออกแบบและผลิตโดยไนกี้ โดยตัวเสื้อใช้สีขาวเป็นสีหลัก ใช้สีแดงเข้มเดินเป็นขอบที่บริเวณข้างลำตัวและปลายแขนเสื้อ ขณะที่คอเสื้อเป็นคอปกสีแดงเข้ม เพิ่มสีสันตรงขอบด้วยเส้นสีเหลืองและสีแดง และมีกางเกงสีแดงเข้มเข้าชุดกัน
ทั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจของชุดทีมเยือนชุดใหม่ อยู่ที่การเลือกใช้โลโก้ “ลูเป็ตโต้ (Lupetto)” หรือ “หมาป่าน้อย” มาแทนตราของสโมสรที่หลายคนคุ้นเคย โดยโลโก้ “หมาป่าน้อย” ซึ่งเป็นรูปหัวหมาป่านั้นออกแบบขึ้นในปี 1978 และครั้งล่าสุดที่มีการนำโลโก้นี้มาใช้แทนตราประจำสโมสร คือชุดทีมเยือนในฤดูกาล 2016/17
ตำนานโลโก้สโมสรโรม่า เด็กดูดนมหมาป่า
ตามตำนาน ระบุว่าทารกทั้งสองเป็นพระโอรสของเทพแห่งสงคราม (Mars) 2 พี่น้องฝาแฝด โรมูลุส และ เรมุส ที่ถูกใส่ตะกร้า และนำมาทิ้งลงแม่น้ำ ไทเบอร์ แต่ด้วยน้ำนมของแม่หมาป่าใจดี พระโอรสทั้งสองพระองค์จึงอ้วนท้วน แถมในรูปยังดูเป็นเด็กอ้วน แต่น่าเสียดายที่ว่า เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ” โรมูลุส ” ที่ได้ก่อตั้งกรุงโรม และกลายเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของโรม ได้ฆ่าน้องชาย ” เรมุส ” ที่เคยกินนมแม่หมาป่ามาด้วยกัน ในการแย่งชิงอำนาจ ด้วยเหตุนี้รูปหมาป่า กับเด็กทารก 2 คนกำลังดูดนม ก็จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรมมาจวบจนถึงทุกวันนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในปี 2007 นักโบราณคดีอิตาลี ที่เชื่อว่าพวกเขาค้นพบถ้ำใต้ดินที่ชาวกรุงโรมสมัยโบราณ ใช้เป็นที่สักการบูชา ซึ่งเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่นางหมาป่าใช้เป็นที่ดูแล 2 พี่น้องฝาแฝด โรมูลุส และ เรมุส สถานที่แห่งนี้เรียกว่า “ลูเปร์กาเล” มาจากคำว่า “ลูปา” ในภาษาละตินซึ่งแปลว่า นางหมาป่า
ตำนานนักเตะแห่งโรม่า
ตำนานแห่งโรม่า หากพูดถึงสโมสรโรม่าแล้วนั้นก็ถือว่าเป็นทีมชื่อดังแห่งกรุงโรงของประเทศอิตาลีนั่นเอง เมื่อพูดถึงโรม่าแล้วนั้นนักเตะที่ถือว่าเป็นตำนานและเป็นนักเตะที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับโรม่าอย่างยาวนานแน่นอนคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขาคนนี้ ฟรันเชสโก ตอดตอนั่นเอง เขานั้นได้รับฉายาที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของทีมนั่นก็คือเจ้าชายแห่งกรุมโรม สาเหตุที่เขานั้นได้ฉายานี้มาก็เพราะว่าเขานั้นอยู่กับทีมมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยที่เขานั้นยังเป็นเด็กและอยู่ถึงจนช่วงสุดท้ายของการเล่นฟุตบอลระยะเวลาก็ราว ๆ 30 ปีได้ เขานั้นเป็นคนที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในด้านกีฬาฟุตบอลอย่างดีที่สุดและเป็นเด็กที่ชื่อนชอบในกีฬาฟุตบอลอย่างมาก ในตอนที่เขานั้นเป็นเด็กเขาได้มีการฝึกซ้อมและฝึกฝนการเล่นฟุตบอลทุกวันจนกระทั่งความสามารถของเขานั้นทำให้สโมสรโรม่าในชุดเยาชนนั้นดึงตัวเขาเข้ามาร่วมทีมได้ในที่สุดและก็ถือว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นในเส้นทางฟุตบอลของเขาในตอนที่เขาอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ด้วยความสามารถและพรสวรรค์เขานั้นมักจะได้เข้าร่วมทีมการแข่งขันในชุดที่ใหญ่กว่าเสมอและเขาก็ค่อย ๆไต่เต้ามาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งในที่สุดความสามารถของเขาที่เก่งเกินต้านนั้น ทำให้ได้เซ็นสัญญาและเริ่มเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรกในปี 1989 โดยได้มีการเซ็นสัญญาการเป็นนักเตะอาชีพกับทีมโรม่านั่นเอง แต่กว่าจะได้ลงเล่นจริงนั้นก็ในปี 1992 เขานั้นใช้เวลาในการเดินทางร่วมกับทีมโรม่ามาตั้งแต่ 1992 และก็พัฒนาจนได้ขยับขึ้นมาเป็นกัปตันทีม และช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นช่วงพีคที่สุดของเขานั้นก็คือในช่วงปี 2000-2001 เขาได้พาทีมโรม่าคว้าแชมป์ซีเรียอาได้สำเร็จและหลังจากนั้นในปี 2006-2007 ก็ได้พาทีมคว้าแชมป์โคปาอิตา ลีได้สำเร็จอีกด้วยไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถครองแชมป์ได้ถึงสองสมัยเลยทีเดียวและนี่ก็เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตอดติได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าผลงานที่สร้างเกียรติยศสำหรับตอดตินั้นอาจจะไม่ได้มากมายแต่สิ่งที่สำคัญก็คือความสำคัญและความเป็นสัญลักษณ์ของโรม่านั้นถือว่ามีความชัดเจนและเป็นนักเตะเบอร์หนึ่งของสโมสรโรม่าเลยนั่นเอง จนในปี 2017 เขานั้นได้เลิกเล่นและแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ระยะเวลาก็ร่วม 30 ปีที่เขาได้อยู่ร่วมทัพกับโรม่ามา โดยมีสถิติในการลงเล่นมากถึง 786 นัด สามารถทำประตูไปได้ 307 ประตูและแอดซิสต์อีก 179 ลูก ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สโมสรโรม่าและแฟนบอลของโรม่านั้นยากที่จะลืม เพราะเขานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่หลอมรวมฟุตบอล แฟนบอล ผู้คน เมืองและเป็นจุดศูนย์กลางที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่เข้มแข็งอย่างมาก เฉกเช่นเดียวกันกับตำนานแห่งฟิออเรนติน่า สโมสรในลีกเซเรียอา เช่นกัน นั่นคือ กาเบรีย บาติสซูต้า
ผู้เล่นชุดปัจจุบันสโมสร โรม่า
เลข | ตำแหน่ง | สัญชาติ | ผู้เล่น |
2 | DF | เนเธอร์แลนด์ | ริค คาร์สดอร์ป |
3 | DF | บราซิล | โรเจอร์ อีบันเญซ (ยืมตัวมาจากอาตาลันตา) |
4 | MF | อิตาลี | บรายัน กริสตันเต |
5 | DF | บราซิล | ฮวน เฌซุส |
6 | DF | อังกฤษ | คริส สมอลลิง |
7 | MF | อิตาลี | โลเรนโซ เปลเลกรีนี (รองกัปตัน) |
9 | FW | บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา | เอดิน เจโก (กัปตัน) |
11 | FW | สเปน | เปโดร |
13 | GK | สเปน | เปา โลเปซ |
14 | MF | สเปน | กอนซาโล บิยาร์ |
17 | MF | ฝรั่งเศส | จอร์แดน แวร์ตูร์ |
18 | DF | อิตาลี | ดาวีเด ซันตอน |
20 | DF | อาร์เจนตินา | เฟเดริโก ฟาซิโอ |
21 | FW | สเปน | บอร์ฆา มาโยรัล (ยืมตัวมาจากเรอัลมาดริด) |
22 | MF | อิตาลี | นีโกเลาะ ซานีโอโล |
23 | DF | อิตาลี | จันลุยกา มันชีนี |
24 | DF | แอลเบเนีย | มาราช คุมบุลล่า (ยืมตัวมาจากเฮลแลสเวโรนา) |
27 | MF | อาร์เจนตินา | ฆาบิเอร์ ปัสโตเร |
31 | FW | สเปน | การ์เลส เปเรซ |
33 | DF | บราซิล | บรูโน เปเรส |
37 | DF | อิตาลี | เลโอนาร์โด สปีนัซโซลา |
42 | MF | กินี | อมาดู เดียวารา |
61 | DF | อิตาลี | ริคคาร์โด คาลาฟิโอรี |
77 | MF | อาร์มีเนีย | แฮนริค มะคีทาเรียน |
83 | GK | อิตาลี | อันโตนีโอ มีรันเต |
– | DF | เซเนกัล | มุสตาฟา เซ็ก |
กุนซือสโมสรโรม่า
เปาโล ฟอนเซก้า มีชื่อเต็มว่า ‘เปาโล อเล็กซานเดร โรดริเกส ฟอนเซก้า’ เกิดวันที่ 5 มีนาคม 973 ปัจจุบันอายุ 46 ปี เป็นชาวโปรตุกีสตั้งแต่กำเนิด ส่วนสูง 188 เซ็นติเมตร สมัยเป็นนักเตะเจ้าตัวประจำการในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก ก่อนจะเริ่มเส้นทางโค้ชในปี 2005
เส้นทางค้าแข้ง
ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะไม่รู้จัก เปาโล ฟอนเซก้า เพราะสมัยเป็นนักเตะเขาไม่ใช่คนที่โด่งดังหรือราศีจับแต่อย่างใด ตั้งแต่ปี 1991-2005 เขาเคยผ่านการค้าแข้งกับ บาร์เรเรนเซ่, ปอร์โต้ (ไม่เคยได้ลงเล่นเลยสักนัดช่วงปี 1995-98), เลก้า, เบเลเนนส์, มาริติโม่, วิตอเรีย กิมาไรส์ และ เอสเตล่า อมาโดร่า และก็ไม่เคยติดทีมชาติโปรตุเกสเลยด้วย โดยช่วงชีวิตค้าแข้งของเขานั้นไม่ได้สวยหรูเลยสักนิด ไปอยู่ไหนก็เป็นได้แค่ส่วนเกิน
เส้นทางกุนซือ
เมื่อเอาดีด้านเป็นนักเตะไม่ได้ ฟอนเซก้า เลยตัดสินใจรีไทร์เก็บรองเท้าสตั๊ดใส่ลิ้นชักไว้ที่บ้าน และหันมาโฟกัสกับงานด้านกุนซือ โดยเริ่มจาก เอสเตล่า อมาโดร่า ทีมสุดท้ายในอาชีพของพี่แกนั่นแหละโดยเริ่มจากชุดเยาวชน ซึ่ง ณ ตอนนั้นเจ้าตัวอายุแค่ 32 ปีเท่านั้น เขาทำผลงานได้ค่อนข้างกับทีมเล็กๆ อย่าง ดีเซมโบร, โอดิเวลาส, ปินญัลโนเวนเซ่ กับ อาเวส ก่อนที่ปี 2012 จะไม่ได้งานอาชีพอย่างเต็มตัวครั้งแรกกับ ปากอส เด เฟเรร่า และก็ทำผลงานได้ดีเกินคาดด้วยการพาทีมจบอันดับ 3 คว้าตั๋วไปเพลย์ออฟ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก จนกระทั่งปีต่อมาถูกยักษ์ใหญ่อย่าง ปอร์โต้ ทาบทามไปคุมทัพ
เปาโล ฟอนเซก้า คว้าแชมป์ใบแรกในอาชีพของตัวเองคือถ้วย ซูเปอร์ตาก้า คันดิโด้ เด โอลิเวียร่า จากการชนะ วิตอเรีย กิมาไรส์ 3-0 ก่อนที่ช่วงท้ายฤดูกาลฟอร์มจะออกทะเลไปไกลจนเสียแชมป์ลีกให้ เบนฟิก้า ละตัวของ ฟอนเซก้า ก็ได้แยกทางไปอยู่กับ ปากอส อีกครั้ง รวมไปถึงกับ บราก้า ในปี 2015 ตามลำดับ
ผลงานกับ ชัคเตอร์ โดเน็ตส์ค
จากนั้นปี 2016 เปาโล ฟอนเซก้า ได้เจอประสบการณ์ใหม่ในต่างแดนเป็นครั้งแรกกับ ชัคเตอร์ โดเน็ตส์ค และก็แจ้งเกิดจนเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น ปีแรกของเขาสามารถดับความหวัง ดินาโม เคียฟ ในการป้องกันแชมป์ลีก พร้อมกับทะยานคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในปีนั้น
ฟอนเซก้า ขึ้นชื่อมากๆ เรื่องบอลแท็คติก เน้นแพ็คเกมตรงกลางเป็นหลัก รวมไปถึงการโจมตีที่หลากหลาย ตลอดระยะเวลา 3 ปี เปาโล ฟอนเซก้า คว้าแชมป์กับ ชัคเตอร์ 7 โทรฟี่ คุมทีมไปทั้งหมด 139 นัด ชนะ 104 เสมอ 18 แพ้ 17 ยิงได้ 292 เสีย 112 ประตู มีเปอร์เซนต์ชนะอยู่ท่ 74.82%
ผลงานใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ในฤดูกาล 2016-17 : ได้เล่นรอบคัดเลือกรอบ 3 เจอกับ ยังบอยส์ สกอร์รวม 2 นัด 2-2 (ชัคเตอร์ แพ้จุดโทษ)
ฤดูกาล 2017-18 : ได้เล่นรอบแบ่งกลุ่ม และจบเป็นอันดับ 2 เหนือ นาโปลี กับ เฟเยนูร์ด กอดคอเข้ารอบน็อคเอาท์ไปพร้อมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนจะแพ้ โรม่า ด้วยกฏอเวย์โกล์ (สกอร์รวมเสมอ 2-2)
ฤดูกาล 2018-19 : ได้เล่นรอบแบ่งกลุ่ม และจบเป็นอันดับ 3 ในกลุ่ม เอฟ ทำให้ต้องหล่นไปเล่น ยูโรปา ลีก แทน ส่วนอันดับ 1-2 ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ โอลิมปิก ลียง