ประวัติของ คริสเตียโน โรนัลโด
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดอส ซานโต๊ส อเวโร่ หรือที่เรารูจักกันในนาม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 1985 ที่เมือง ฟันชัล มาเดร่า ประเทศโปรตุเกส โดยครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่ ควินตา โด ฟาชาล เมืองซานโต อันโตนิโอ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลบริเวณตามถนนที่นี่ ก่อนที่ พรสวรรค์ที่เต็มเปี่ยม บวกกับทักษะ และความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม สามารถเล่นได้ทั้งปีกขวา และปีกซ้าย และปัจจุบันเล่นตำแหน่ง กองหน้าโรนัลโด้ ได้รับการยกย่องให้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก
เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอล
ปี 1993-2001 : เริ่มต้นอาชีพกับทีมเยาวชน
โรนัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลในขณะที่อายุเพียง 3 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในทีมชุดใหญ่ของ ทีม Andorinha เมื่อตอนเขาอายุ 6 ขวบ จากการชักชวนของญาติเขาที่อยู่ในทีมนี้ และยังเป็นทีมที่บิดาของเขาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลชุดแข่งอีกด้วย พอถึงปี 1995 โรนัลโด้ ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับทีม Nacional โดยมีการจ่ายค่าตัวเป็นชุดฟุตบอลและลูกบอล หลังจากช่วย นาซิอองนาล คว้าแชมป์ระดับเยาวชนได้ โรนัลโด้ ในอายุ 12 ปี ก็ได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่ ๆ ของโปรตุเกสมากมาย แต่สุดท้าย โรนัลโด้ เลือกค้าแข้งกับ สปอร์ติง ลิสบอน ทีมโปรดของตัวเอง ในที่สุด
โรนัลโดได้ย้ายมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ ในฤดูกาล 2002–03 โรนัลโดใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ลีก และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพกับ มิลล์วอลล์ ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04 โรนัลโดกับการพาทีมชาติโปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกยูโร 2004 ก่อนพ่ายให้กับ กรีซ 0 – 1
ในฤดูกาลที่ 2 ของโรนัลโดกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ฟอร์มไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้แค่ 9 ประตู และในฤดูกาล 2005–06 โรนัลโดก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด
โรนัลโดคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร (FIFPro Special Young Player of the Year 2005) ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟน ๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสิน และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย
ฤดูกาล 2006–2009
โรนัลโด เล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในช่วงฤดูกาล 2006-07 ในศึกฟุตบอลโลก 2006 โรนัลโดถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้เวย์น รูนีย์ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส โรนัลโดถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า อย่างไรก็ดีโรนัลโดยังคงเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
เมษายน 2007 คริสเตียโน โรนัลโด คว้ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมและผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2007 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษหรือพีเอฟเอไปครอง โดยเป็นผู้เล่นรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครอบครองในเวลาเดียวกัน หลังโชว์ฟอร์มสุดยอดมาตลอดฤดูกาลนี้โดยก่อนหน้านี้ แอนดี เกรย์ เคยทำได้เมื่อปี 1977 หรือ ราว 30 ปีก่อน
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยอมรับว่า ได้รับข้อเสนอการซื้อตัวจากสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งก็ปรากฏว่าโรนัลโดก็มีความต้องการที่จะออกจากสโมสรเช่นกัน โดยเขาได้ตกลงย้ายออกไป การซื้อตัวครั้งนี้ถือเป็นสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลก โดยผลงานของโรนัลโดได้ลงเล่นเป็นตัวจริง 299 นัด ทำประตูได้ 118 ประตู
ฤดูกาล 2009–10
ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2009 สโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด ได้ซื้อตัวโรนัลโดมาด้วยค่าตัวถึง 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติการซื้อนักฟุตบอลที่แพงที่สุดในโลกจากสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในประเทศอังกฤษ เขาได้รับตำแหน่งสวมเสื้อหมายเลข 9 โดยในฤดูกาลนี้โรนัลโดทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยได้ลงเล่นเป็นตังจริงทั้งหมด ถึง 35 นัด ทำประตูไปได้ 33 ประตู ซึ่งครองดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกา ในฤดูกาลนี้ โดยโรนัลโดได้ถูกเล่นในตำแหน่งกองหน้า และบางครั้งเขาอาจจะเล่นในตำแหน่งปีกขวา โรนัลโดทำประตูแรกตั้งแต่มาอยู่กับเรอัลมาดริดคือในนัดที่เจอกับสโมสรฟุตบอลอัตเลติโกเดมาดริด โดยเรอัลมาดริดชนะไป 2-0 และในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2009 โรนัลโดได้ยิงลูกฟรีคิกระยะใก้ลถึงสองครั้งในนัดที่เจอกับเอฟซี ซูริช โดยเรอัลมาดริดชนะไป 5-2 ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม
ฤดูกาล 2010–11
พอเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 ของโรนัลโด เขาได้ถูกเปลี่ยนเบอร์ของเสื้อจากเบอร์ 9 เป็นเบอร์ 7 และได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมมาเป็นโชเซ มูรีนโย ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสที่รู้จักในตัวของโรนัลโดเป็นอย่างดี ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ในนัดที่เรอัลมาดริดเจอกับราซินเดซันตันเดร์ โดยโรนัลโดทำประตูไปได้ถึง 4 ประตู ทำให้เรอัลมาดริดชนะไป 4-0 แล้วในนัดที่เจอกับ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา
โดยเรอัลมาดริดไปเยือนที่กัมนอว์ แพ้ไป 5-0 ซึ่งโรนัลโดก็ได้มีจังหวะยิงหลายครั้ง แล้วหลังจากในนัดนั้น เรอัลมาดริด ได้เปิดบ้านพบกับอัตเลติกเดบิลบาโอ โดยในนัดนั้นโรนัลโดเกือบทำแฮตทริกได้โดยเขายิงไป 5 ประตู ในช่วงเวลาต่างกันไม่เกิน 6 นาที ทำให้ชนะไป 6-1 และในช่วงปลายปี ค.ศ. 2010 เขาได้ทำเกือบทำซูเปอร์แฮตทริกเป็นครั้งแรกในตัวของเขาโดยในถ้วยโกปาเดลเรย์กับเลบันเตอูเด โดยโรนัลโดทำไป 5 ประตู และแฮตทริกของการีม แบนเซมา ทำให้ เรอัลมาดริด ชนะไป 8 -0
ฤดูกาล 2011–12
ดูกาล 2011-12 ความสำเร็จและการพัฒนาระหว่าง มาดริด กับ โรนัลโด เป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยฤดูกาลนี้ “ซีอาร์7” กดไปถึง 60 ประตู (รวมทุกรายการ) และยังสามารถทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยูซีแดล แต่ก็แพ้บาเยิร์นมิวนิก ไป 1-3 จากการดวลจุดโทษ อย่างไรก็ตาม โรนัลโดก็สามารถนำทีมได้แชมป์ ลาลีกา ได้เป็นครั้งที่ 32 ของสโมสร
ส่วนในซีซั่นล่าสุด ภาพรวมของเรอัล มาดริด ตกต่ำมาก เพราะไม่มีโทรฟี่ติดมือแม้แต่รายการเดียว แถมยังมีการแบ่งแยกพรรคพวกกันด้วย อีกทั้ง โรนัลโด้ กลับไม่กินเส้นกับทางด้าน มูรินโญ่ อีกต่างหาก ส่งผลให้ เฮดโค้ชจากแดนฝอยทอง โดนปลดออกจากตำแหน่งไปในท้ายที่สุด ขณะที่ดาวยิงโปรตุกีส ก็ตกเป็นข่าวย้ายทีมทันที เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน โดยเป้าหมายอยู่ที่ทีมเก่าอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ทว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม โรนัลโด้ ออกมายืนยันแล้วว่า คงหมดโอกาสกลับรังเก่าแน่นอนแล้ว จากความกระหายแชมป์ที่สะสมมานานจนทำให้ทีมราขันชุดขาวทนไม่ไหว ในฤดูกาลนี้ 2013/2014 พวกเขาได้ทำการดึงตัวกุนซือมากฝีมืออย่าง อัลเชลอตติ มาคุมทีม เพื่อความหวังที่เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าให้ได้สำเร็จได้สักที และนั้นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดถูก เนื่องจากกุนซือคนเก่งคนนี้ได้บรรดาลเจ้าแห่งยุโรปได้สมดั่งใจ และที่สำคัญ โรนัลโด้ ยังได้ลงสนามครบ 200 เกมกับ เรอัล มาดริด อีกด้วย แถมยังได้เป็นดับเบิ้ลแชมป์ครั้งแรกของเขากับเรอัล มาดริด ที่ได้ทั้ง ยูฟ่า และ โกปา เดล เรย์ จบฤดูกาล กัปตันทีมชาติโปรตุเกส (โรนัลโด) ทำประตูคนเดียวไปได้มากถึง 51 ประตู ลงสนาม 47 นัด จบฤดูกาล โรนัลโด ตัดสินใจฝากชีวิตไว้กับราชันชุดขาว ด้วยการขยายสัญญาเพิ่มอีก 4 ปี รับค่าเหนื่อยรับมหาศาลถึง 17 ล้านยูโรต่อปี
ในปี 2015/2016, 2016/2017, 2017/2018
นับจากมาเป็นเวลา 3 ปี โรนัลโด้ ได้พาทีม เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่า ได้อีก 3 สมัยติดต่อกัน ในปี 2015/2016, 2016/2017, 2017/2018 และเขายังได้สร้าง สถิติมากมายนับไม่ถ้วน และหนึ่งในรางวัลสุดยิ่งใหญ่นั้นก็คือรางวัล บัลลงดอร์ ที่ได้มาเพิ่มอีกถึง 4 สมัย โดยรวมทั้งหมดแล้ว คริสเคียโน่ โรนัลโด ได้รับรางวัล บัลลงดอร์มาแล้วทั้งหมด 5 สมัย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสุดยอดนักเตะที่มีรางวัลการันตีมากมายเพียงใด แต่ในภายหลังการฟอร์มการเล่นของ CR7 ก็เริ่มตกจนถูกบรรดาแฟนบอลของทีมตัวเองโห่ไล่และกล่าวโทษอยู่เสมอ จนในที่สุดเขาได้ตัดสินใจหยุดการค้าแข่งกับ เรอัล มาดริด และย้ายเข้าสู่ เซเรีย อา อิตาลี ในทีม ม้าลาย ยูเวนตุส ในปี 2018 และเริ่มความท้าทายใหม่ในชีวิตการค้าแข้งของเขา
การมาของโรนัลโดกับทีมยูเวนตุส
โรนัลโด้ ได้ย้ายเข้ามาสู่ถิ่น กัลโช่ เซเรีย อา ในวัย 33 ปี ด้วยค่าตัวมหาศาลเกิดกว่าที่ใครๆ จะคาดคิดไว้ว่า นักเตะในวัยที่ขึ้นเลข 3 แล้วจะมีค่าตัวสูงถึงขนาดนี้ แต่ชายที่มีชื่อว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ทำให้เราได้เห็นแล้วว่า ทีมม้าลายยูเวนตุส ลงทุนยอดควักเงินสูงถึง 100 ล้านปอนด์ เพื่อที่จะได้นักเตะวัย 33 จอมสังหารประตูคนนี้มาร่วมทัพ จนทำให้เกิดปรากฎการณ์ “โรนัลโด้เอฟเฟ็กต์” เป็นเหตุการณ์ที่ใช่ว่าจะมีนักเตะคนไหนทำได้แบบนี้มากก่อน ด้วยวัยขนาดนี้ ค่าตัวขนาดนี้ แต่เขาก็ได้รับการต้อนรับจากแฟนบอลยูเวนตุสเป้นอย่างดีแถมยังชื่นชมดีลนักเตะคนนี้มากเป็นพิเศษอีกด้วย
สำหรับยอดนักเตะ โรนัลโด้ คนนี้ยังสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย ด้วยการทำลายสถิติมากมายกับทีมขาวดำม้าลายยูเวนตุส ไม่ว่าจะเป็นสถิตินักฟุตบอลคนแรกที่ลงเล่นชนะในศึกยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีก 100 นัด หรือ สถิติ 10 ประตู หลังลงเล่นไปเพียง 14 นัดแรก แถมยังพาทีมม้าลายได้แชมป์แรกกับตนเองเมื่อ มกราคม ปี 2018 เป็น แชมป์ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนา ที่สามารถการเอาชนะทีม เอซี มิลาน ไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 ก่อนที่จะได้แชมป์ เซเรียอา อิตาลี แชมป์ลีกสูงสุดอีก 1 สมัย ตามมาติดๆ ทำให้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ ว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นนักเตะคนแรกที่แชมป์ลีกสูงสุด ของ อังกฤษ, สเปน และ อิตาลี จบฤดูกาลแรก ด้วยสถิติ 21 ประตู 8 แอสซิส
ฤดูกาลที่ 2 บนเวที กัลโช่ เซเรีย อา ในปี 2019-2020
ถึงตอนนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ได้เดินทางมาถึงฤดูกาลที่ 2 กับ ยูเวนตุส แล้ว แถมในฤดูกาลนี้เขายังสามารถคงฟอร์มร้อนแรงอย่างต่อเนื่องด้วยการพาทีม ม้าลาย คว้าแชมป์เซเรียอา อิตาลี แชมป์ลีกสูงสุดอีก 1 สมัยติดต่อกัน
ทีมชาติคริสเตียโน่ โรนัลโด้
โรนัลโด ได้ลงเล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส นัดแรกที่โปรตุเกสชนะคาซัคสถาน ไป 1-0 ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2003
ยูโร 2004
โรนัลโดได้ถูกเรียกตัวไปไปเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004ประตูแรกในนามทีมชาติชุดใหญ่ของเขาคือตอนที่โปรตุเกสชนะกรีซไป 2-1 ในรอบแบ่งกลุ่ม และจากนั้นก็ยิงประตูต่อในนัดรอบก่อนรองชนะเลิศที่โปรตุเกสเจอกับเนเธอร์แลนด์ ซึ่งโปรตุเกสชนะไป 2-1เขาได้เป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของทีมนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำแห่งฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปของการแข่งขันแม้จะยิงได้เพียงแค่ 2 ประตู.นอกจากนี้เขายังเป็นตัวแทนของทีมชาติโปรตุเกสในโอลิมปิกฤดูร้อน 2004
ฟุตบอลโลก 2006
โรนัลโดลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกส โรนัลโดได้เป็นรองดาวซัลโวในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ในโซนยุโรปด้วยการยิงไป 7 ประตู และประตูแรกของเขาในฟุตบอลโลก คือนัดที่พบกับอิหร่าน ด้วยการยิงลูกโทษเมื่อมาถึงรอบคัดเลือกรอบสุดท้าย ได้พบกับอังกฤษในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 โรนัลโดได้พบเพื่อนร่วมทีมจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งก็คือ เวย์น รูนีย์ และรูนีย์ได้ไปทำฟาวล์ใส่กองหลังทีมชาติโปรตุเกสซึ่งคือ รีการ์ดู การ์วัลยู สื่ออังกฤษสันนิษฐานว่าโรนัลโดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ตัดสินโอราซีโอ เอลีซอนโด โดยอุกอาจบ่นหลังจากที่เขาได้เห็นตรงม้านั่งสำรองของทีมชาติโปรตุเกสหลังจากการไล่รูนีย์ออก หลังการแข่งขันโรนัลโดยืนยันว่ารูนีย์เป็นเพื่อนของเขาและว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่เกี่ยวกับการไล่รูนีย์ออกจากสนาม วันที่ 4 กรกฎาคม อริซอนโดได้บอกกับทางสื่อว่าการที่เขาแจกใบแดงให้รูนีย์เพราะเป็นการทำผิดของกฎฟุตบอลเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรนัลโดเลย
ชีวิตส่วนตัว
พ่อของโรนัลโดเป็นผู้อำนวยการสโมสรฟุตบอลเล็ก ๆ ที่ชื่ออังดูรีญา และพ่อเขาขอให้กัปตันทีมที่ชื่อ ฟือร์เนา โซซา (Fernão de Sousa) เป็นพ่อทูนหัว ส่วนแม่ของเขามีอาชีพเป็นแม่ครัว โรนัลโดช่วยเหลือครอบครัวเป็นอย่างดี ช่วยพี่สาวคนโตเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่เกาะมาเดรา ส่วนพี่สาวอีกคน กาเตีย เป็นนักร้อง มีวงดนตรีชื่อ Ronalda
โรนัลโด ประกาศว่าเขาได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 โดยประกาศในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของเขา โดยพูดว่า เขาได้ลูกชายและต้องการความเป็นส่วนตัว โดยลูกชายของเขาชื่อว่า คริสเตียโน โรนัลโดย จูเนียร์ ที่กำเนิดมาจากหญิงนิรนาม โดยเขาได้รับสิทธิในการดูแลเด็กอย่างสมบูรณ์ ภายใต้การดูแลจากแม่ของโรนัลโดและพี่สาว
เกียรติประวัติ
เกียรติประวัติกับสโมสร
โรนัลโด กับ ลิโอเนล เมสซี, ในเดือนกุมภาพันธ์ 2011
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
- พรีเมียร์ลีก : 2006–07, 2007–08, 2008–09
- เอฟเอคัพ : 2003–04
- ลีกคัพ : 2005–06, 2008–09
- เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ : 2007
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2007–08
- ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก : 2008
เรอัลมาดริด
- ลาลิกา : 2011–12, 2016–17
- โกปาเดลเรย์ : 2010–11, 2013-2014
- ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา : 2012, 2017
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2013-14, 2015–16, 2016–17
- ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก : 2014, 2017
ยูเวนตุส
- เซเรียอา : 2018–19
- เซเรียอา : 2019–20
- ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา : 2018
เกียรติประวัติทีมชาติ
- ทีมชาติโปรตุเกส ฟุตบอลโลก: อันดับที่ 4 : 2006
- ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป: รองชนะเลิศ : 2004
- ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป: ชนะเลิศ : 2016
- ยูฟ่าเนชันส์ลีก: ชนะเลิศ : 2018–19
เกียรติประวัติส่วนตัว
- ทีมชาติยอดเยี่ยมในศึกยูโร : 2004, 2012
- บราโวอะวอร์ด : 2004
- นักฟุตบอลดาวรุ่งในฟีฟ่าโปรประจำปี : 2004, 2005
- นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : 2006–07
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปีของเซอร์แมตต์ บัสบี : 2003–04, 2006–07, 2007–08
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : 2006–07, 2007–08
- นักเตะยอดเยี่ยมจากแฟนบอลของพีเอฟเอ : 2006–07, 2007–08
- นักเตะยอดเยี่ยมจากนักข่าวของพีเอฟเอ : 2006–07, 2007–08
- นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลพรีเมียร์ลีก : 2006–07, 2007–08
- นักเตะยอดเยี่ยมประจำปีพรีเมียร์ลีก : November 2006, December 2006, January 2008, March 2008
- พรีเมียร์ลีกโกลเดนบูต : 2007–08
- บาร์คลีส์เมริตอะวอร์ด : 2007–08
- ดาวซัลโวของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2007–08
- กองหน้ายอดเยี่ยมของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2007–08
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำสโมสรในยูฟ่า : 2007–08
- ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ลูกบอลสีเงิน : 2008
- แมนออฟเดอะแมตช์ประจำปี 2008 : Czech Republic vs Portugal
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป : 2008
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี : 2008
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี (ฟีฟ่าโปร) : 2008
- World Soccer Player of the Year : 2008
- PFA Premier League Team of the Year : 2005–06, 2006–07, 2007–08, 2008–09
- FIFA Puskás Award : 2009
- European Golden Shoe : 2007–08, 2010–11
- CNID Best Portuguese Athlete Abroad : 2007, 2008, 2009, 2011
- ทีมแห่งปีของยูฟ่า : 2003–04, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2009–10, 2010–11
- ฟีฟ่า ฟิฟโปร เวิลด์ : 2007, 2008, 2009, 2010, 2011
- แมนออฟเดอแมตช์ฟุตบอลโลกปี 2010 : Côte d’Ivoire vs Portugal, Portugal vs Korea DPR, Portugal vs Brazil
- ดาวซัลโวประจำลาลิกา : 2010–11
- Trofeo Alfredo Di Stéfano : 2011–12
- European Sports Magazines : 2006–07, 2007–08, 2010–11, 2011–12
- แมนออฟเดอะแมตช์ปี 2012 : Portugal vs Netherlands, Czech Republic vs Portugal
ในชีวิตการค้าแข้งของกัปตันทีมชาติโปรตุเกส รายนี้คงไม่ต้องมีอะไรให้พิสูจน์อีกแล้ว เขาคว้าถ้วยรางวัลมากมายทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ รวมถึงรางวัลส่วนตัวอย่าง บัลลงดอร์ (Ballon d’Or) ที่กวาดไปถึง 5 ครั้ง (แค่ครั้งหนึ่งในชีวิตก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากแล้วสำหรับนักฟุตบอล) โรนัลโด เป็นรองเพียง ลิโอเนล เมสซี คู่ปรับร่วมอาชีพตลอดกาลที่ได้รางวัลนี้ดังกล่าว 6 ครั้ง
คริสติอาโน โรนัลโด ในวัย 36 ปี สำหรับวงการฟุตบอล นี่คือช่วงบั้นปลายอาชีพของนักเตะหลาย ๆ คนที่เตรียมโบกมือลาโลกลูกหนัง แต่สำหรับเขา ดูเหมือนว่าอายุจะเป็นเพียงตัวเลขและทำอะไรชายคนนี้ไม่ได้เลย เพราะหากดูจากผลงานโดยรวมกับต้นสังกัด ‘ม้าลาย’ ยูเวนตุส ก็ต้องบอกว่า โรนัลโด ยังคงเป็นแข้งคนสำคัญที่ทีมขาดไม่ได้ สำหรับคนที่ติดตามเรื่องราวของ โรนัลโด มาโดยตลอดนั้น ก็พอจะทราบได้ว่าเขาเป็นนักฟุตบอลที่มี ‘Consistent’ หรือ ความสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการดูแลสภาพร่างกายอย่างดีเยี่ยมไม่ขาดตกบกพร่องเพื่อรักษาความฟิตอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อนำเอาการใช้ชีวิตของเขามาแตกย่อยออกเป็นบทเรียน ก็เหมือนจะทำให้เราพบกับ 4 เคล็ดลับของ โรนัลโด ที่เปรียบเสมือนสูตรความสำเร็จของเจ้าตัว
- 1. ทุ่มเทอย่างสุดกำลังให้กับสิ่งเดียวที่คุณสามารถควบคุมได้
- 2. พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นกว่าเมื่อวานเสมอ
- 3. เป็นตัวของตัวเองในสิ่งที่คุณทำ
- 4. สำคัญที่สุด ทุ่มเททำทุกวัน