– เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ถูกยกย่องว่าเป็นกุนซือหมายเลข 1 ของยุคนี้ มันไม่ใช่แค่จำนวนแชมป์ที่เขาคว้ามาได้ แต่มันเป็นเรื่องของการรังสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้โลกฟุตบอลอยู่เสมอ
– เอาแค่สมัยคุม แมนฯ ซิตี้ ในปัจจุบัน เขาปั้น ชูเอา คันเซโล่ ให้กลายเป็น invert fullback ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ
– ทว่าซีซั่นนี้กุนซือชาวสแปนิช ทำช็อกแฟนบอล “เรือใบสีฟ้า” หลังตัดสินใจปล่อยแบ็กชาวโปรตุกีส ออกจากทีมในช่วงกลางฤดูกาลแบบหน้าตาเฉย
– ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เป๊ป กำลังจะสร้างแท็กติกใหม่ ซึ่งเป็นระบบที่ต้องการลดบทบาทเกมรุกของฟูลแบ็กลงอย่างชัดเจน
– อย่างไรก็ตามถึงแม้ กวาร์ดิโอล่า จะเก่งกาจเพียงใด แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ต้องการเวลา เพื่อลองผิด ลองถูกเช่นกัน
– แมนฯ ซิตี้ ยังมีโครงสร้างหลักคือ 4-3-3 เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือการขึ้นเกมรุกที่ต้องปรับแท็กติกเป็น 3-2-4-1
– แรกๆ กุนซือวัย 52 ปีพยายามดันดาราให้ ริโก้ ลูอิส แบ็กขวาดาวรุ่งวัย 18 ปีลองเล่น ถึงแม้ภาพรวมจะทำได้ดี แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงความสมบูรณ์ตามแบบที่เขาคิดไว้
– โชคดีของ เป๊ป ที่ในทีม แมนฯ ซิตี้ มีอะไหล่ชั้นเยี่ยมตามที่เขาต้องการ โดยเฉพาะผู้เล่นในตำแหน่งแนวรับที่มีความยืดหยุ่นสูง ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, อายเมอริค ลาปอร์กตส์, มานูเอล อคานยี่ และ นาธาน อาเก้ พวกนี้เล่นได้หมดทั้งเซนเตอร์และฟูลแบ็ก
– สุดท้ายแท็กติกมาลงตัวกับ จอห์น สโตนส์ ที่จะเป็นแกนหลักในการหมุนระบบระหว่างเกม เวลาเกมรับยืนเซนเตอร์กับ รูเบน ดิอาส แต่เมื่อต้องเล่นเกมรุก จะดันตัวเองเป็นคู่มิดฟิลด์กับ โรดรี้
– ส่วนแบ็กขวาซ้าย วอล์คเกอร์ กับ อาเก้ หรือ อคานยี่ จะแปรสภาพเป็นเซนเตอร์ฮาลฟ 3 คน ยืนขนาบข้าง รูเบน ดิอาส ไม่ต้องเติมเกมสูงมาก ไม่ต้องไปโอเวอร์แล็ปให้กับผู้เล่นในตำแหน่งปีก
– พอทุกกอย่างเข้าที่เข้าทางตอนนี้กลายเป็นว่าเกมของ แมนฯ ซิตี้ แน่นมากๆ การครองบอลเสียยาก โรดรี้ ไม่เดี่ยวดายเพราะมี สโตนส์ มาคอยช่วยเซ็ตบอล การบีบพื้นที่ การเพรสซิ่ง การแย่งบอล ก็ทำได้อย่างเนียนตา
– เมื่อแนวรับลงตัว แนวรุกก็แทบไม่ต้องห่วงเลย เป๊ป เชื่อมั่นในคุณภาพปีกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กรีลิช, โฟเด้น, แบร์นาร์โด้ หรือ มาห์เรซ พวกนี้พร้อมเอาชนะในสถานการณ์ 1 ต่อ 1 หรือถ้าโดนรุมก็มักจะไม่เสียบอลง่ายๆ
– คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ คือ เดอ บรอยน์ กับ กุนโดกาน ที่มีอิสระในการเดินเกมเต็มที่ เล่นเกมรุกได้แบบไม่ต้องพะวงหลัง และไม่แปลกใจเลยที่ช่วงหลัง 2 คนนี้จะฟอร์มโดดเด่น
– เดอ บรอยน์ ยิง 4 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ ใน 9 เกมหลังสุด ส่วน กุนโดกาน ยิง 4 กับ 2 แอสซิสต์ ใน 4 เกมที่ผ่านมา
– ยิ่งมี เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เป็นกองหน้าตัวเป้ายิ่งทำให้อะไรง่ายขึ้นเยอะ เพราะหัวหอกนอร์วีเจี้ยน ได้หมดในทุกรูปแบบการโจมตี ตัวใหญ่เก็บบอลดี สปีดก็ไม่ธรรมดา แถมฉลาดในการวิ่งหาช่อง ที่สำคัญสัญชาตญาณกองหน้าก็เหลือร้าย
– จุดต่างระหว่าง invert fullback กับการดันเซนเตอร์ฮาล์ฟ ขึ้นมายืนกองกลางตัวรับ เป็นเรื่องของสมดุลของทีม ระยะการเข้าตำแหน่งง่ายกว่า แถมไม่ต้องหมุนโพซิชั่นมากจนผู้เล่นสับสน
– จริงๆ แมนฯ ซิตี้ ซีซั่นนี้ก็สะดุดบ่อย การแพ้ถึง 4 นัดไม่ใช่ภาพที่เราคุ้นตา แต่พอ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ปรับระบบใหม่ลงตัว พวกเขาไม่แพ้ใคร 23 นัดติดต่อกันในทุกรายการ และชนะรวด 11 เกมรวดในพรีเมียร์ลีก
– “เรือใบสีฟ้า” กำลังไล่ล่าคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ที่ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ทีมที่ได้ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่นเดียวกันมีแค่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงทีมเดียวเท่านั้น
– จะทำได้หรือไม่คงต้องรอติดตาม แต่ที่แน่ๆ ตราบใดที่สมองของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่ยอมหยุดนิ่ง ความสำเร็จก็คงจะไหลมาเทมาแบบไม่มีหยุดพักเช่นกัน
