สโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ บาเลนเซีย หรือ ไอ้ค้างคาว เป็นทีมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน เมืองบาเลนเซีย ทางพื้นที่แถบชายฝั่งทะเลทิศตะวันออกของประเทศสเปน เกียรติประวัติก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาของ บาเลนเซีย เป็นการได้แชมป์ ลา ลีกา ได้ 6 สมัย, โกปา เดล เรย์ 7 ครั้ง, อินเตอร์ ซิตี้ แฟร์ส คัพ (ยูฟ่า คัพ ดั้งเดิม) 2 ครั้ง, ยูฟ่า คัพ 1 ครั้ง, ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 ครั้ง, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2 ครั้ง รวมถึงการผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 ครั้ง พวกเขายังเคยเป็นสมาชิกของกลุ่ม จี-14 ที่เป็นการรวมตัวกันของทีมระดับชั้นนำในยุโรปซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี 2000 ก่อนที่จะมีการขยายตัวมากขึ้นเป็น 18 ทีมในอีก 2 ปีต่อมา แต่ภายหลังจากปี 2008 ทางกลุ่มก็ได้ยุบตัวลงและเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ไปเป็น อีซีเอ (European Club Association) ที่มีจำนวนสมาชิกอยู่สูงถึง 232 ทีมจาก 54 ประเทศในปัจจุบัน
บาเลนเซีย จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1919 และเริ่มลงเตะในสนามเหย้า เมสตาย่า ที่มีความจุ 49,500 ที่นั่งตั้งแต่แมื่อปี 1923 เดิมทีทางสโมสรมีแพลนที่จะย้ายเข้าสู่ นู เมสตาย่า บ้านหลังใหม่ที่มีขนาด 75,000 ที่นั่งในปี 2013 แต่ก็จะต้องเลื่อนหมายกำหนดการออกไปอย่างไม่มีกำหนดเพราะว่าติดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง บาเลนเซีย เป็นทีมที่มีฐานแฟนบอลสูงที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศรองจาก เรอัล มาดริด และก็ บาร์เซโลน่า พวกเขายังเป็นหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในด้านของจำนวนสมาชิกผู้สนับสนุนที่มีการลงทะเบียนรายชื่ออย่างเป็นทางการ จากจำนวนแฟนบอลที่ถือตั๋วทุกปีกว่า 50,000 คนต่อฤดูกาลรวมทั้งอีกกว่า 20,000 คนที่ลงชื่อขอจองสิทธิ์ตั๋วทุกปีเพิ่มเติม ซึ่งคาดหวังจะได้เชียร์ทีมรักในรังเหย้าใหม่ขนาด 75,000 ที่นั่งในอนาคต ในแต่ละปีที่ล่วงเลยไปพวกเขาสามารถสร้างชื่อในวงกว้างได้จากบรรดาแข้งเยาวชนที่ผลิดอกออกผลมาจากอะคาเดมี่ของทีม ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เติบโตขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลระดับท็อปของโลกทั้งยัง ราอูล อัลบิโอล, อันเดรส ปาลอป, มิเกล อังเคล อังกูโล่, ดาบิด อัลเบลด้า, กาอิซก้า เมนดิเอต้า และก็ ดาบิด ซิลบา และถ้าเกิดพูดถึงผลผลิตที่สร้างชื่อได้ในช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานนักก็จะมี อิสโก้, จอร์ดี้ อัลบา, ฆวน เบร์นาต, โฆเซ่ กาย่า และ ปาโก้ อัลกาเซร์
ประวัติความเป็นมาแต่ละปีของโมสรบาเลนเซีย
- 1919 – สโมสรถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 เดือนมีนาคม ก่อนที่จะได้การรับรองอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 มีนาคม โดยมี ออคตาบิโอ ออกุสโต้ มีเลโก้ ดิอาซ เป็นประธานสโมสรคนแรกที่จับพลัดจับผลูได้ตำแหน่งมาจากการเสี่ยงทายโยนเหรียญ และเปิดฉากแมตช์แรกอย่างเป็นทางการด้วยการออกไปเยือน บาเลนเซีย คิมนาสติโก้ ก่อนที่จะพ่ายไป 1-0
- 1923 – บาเลนเซีย ย้ายไปสู่รังเหย้า เมสตาย่า ที่เปิดตัวด้วยความจุ 17,000 ที่นั่งหลังลงเตะอยู่ในสนามแถบ อัลคิโรส ตั้งแต่ช่วงปลายปี 1919 โดยนัดเปิดฉากสนามเป็นเกมอุ่นเครื่องระหว่าง เลบานเต้ ในวันที่ 20 เดือนพฤษภาคม ก่อนที่จะลงแข่งขันอย่างเป็นทางการในเกมฟาดแข้งกับ กัสเตยอน กัสตาเลีย ที่จบลงด้วยผลเสมอ 0-0 ก่อนที่จะมาเอาชนะคู่ต่อสู้เดิมได้ในวันต่อมาด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งผลสุดท้ายแล้วพวกเขาสามารถเอารางวัลชนะในการแข่งระดับภูมิภาค จนได้รับสิทธิ์ร่วมการแข่งขัน โกปา เดล เรย์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม
- 1941 – จากผลพวงของ สงครามกลางเมืองประเทศสเปน ทำให้การเติบโตของสโมสรเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งทีมมาคว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ ได้เป็นครั้งแรกในปีนั้นจากการเอาชนะ เอสปันญ่อล 3-1 ในนัดชิงที่ กรุงมาดริด
- 1942 – บาเลนเซีย เดินหน้าคว้าความสำเร็จอย่างต่อเนื่องเมื่อสามารถคว้าถ้วย ลา ลีกา มาครองได้ในช่วงฤดูกาล 1941-42 ในช่วงเวลาที่การเป็นแชมป์ โกปา เดล เรย์ ในช่วงเวลานั้นจะดูมีภาษีมากกว่าการได้แชมป์ลีกสูงสุดก็ตาม
- 1947 – ทีมยังคงรักษามาตรฐานระดับสูงไว้ได้อย่างต่อเนื่อง หลังสามารถครองแชมป์ ลา ลีกา ได้อีก 2 ครั้งภายในระยะเวลาที่ผ่านมา โดยเริ่มจากฤดูกาล 1943-44 ที่เข้าป้ายแบบทิ้งห่าง แอตเลติโก มาดริด ถึง 6 คะแนน และอีกรอบในฤดูกาล 1946-47 ที่ทีมเก็บแต้มได้เท่ากับ แอธเลติก บิลเบา แต่เป็นฝ่ายคว้าถ้วยรางวัลได้เพราะมีผล เฮด-ทู-เฮด ที่ดีมากกว่า
- 1953 – บาเลนเซีย จบฤดูกาล 1952-53 ด้วยตำแหน่งรองแชมป์ โดยการทำแต้มตามหลัง บาร์เซโลน่า ทีมแชมป์เพียงแค่ 2 คะแนน และอยู่เหนือ เรอัล มาดริด ทีมอันดับสามอยู่ 1 คะแนน
- 1954 – ไอ้ค้างคาว ที่นำทัพโดย อันโตนิโอ ปูชาเดส แข้งทีมชาติประเทศสเปน มาได้แชมป์ สแปนิช คัพ ได้เป็นหนที่สอง จากการถล่ม บาร์เซโลน่า 3-0 ที่ เอสตาดิโอ ชาร์มาติน หรือที่รู้จักกันดีในภายหลังว่า ซานติอาโก้ เบร์นาเบว โดยที่การแข่งขันถูกเปลี่ยนแปลงมาใช้ชื่อเป็น โกปา เดล เคเนราลีซีโม่ ในช่วงเวลานั้น
- 1962 – ทีมประสบความสำเร็จในระดับทวีปเป็นครั้งแรกจากการคว้าแชมป์ อินเตอร์ ซิตี้ แฟร์ส คัพ ที่พัฒนาขึ้นมาเป็น ยูฟ่า คัพ ในภายหลังจากการเอาชนะ บาร์เซโลน่า คู่แข่งร่วมสายเลือดไปด้วยสกอร์รวม 2 นัดแบบขาดลอย 7-3
- 1963 – พวกเขาคว้าแชมป์ยุโรปรายการเดิมได้อีกในปีถัดมาจากการดวลกับ ดินาโม ซาเกร็บ คู่ต่อสู้ที่ยังมีสถานะเป็นตัวแทนจาก ยูโกสลาเวีย ก่อนที่จะเอาชนะไปด้วยผลรวม 4-1
- 1964 – บาเลนเซีย เดินหน้าเข้าสู่รอบชิง อินเตอร์ ซิตี้ แฟร์ส คัพ ได้เป็นปีที่สามต่อเนื่องกัน แต่ว่าครั้งนี้พวกเขากลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับ เรอัล ซาราโกซ่า คู่ต่อสู้จากบ้านเดียวกันไปแบบหวุดหวิด 2-1 ในนัดชิงที่เปลี่ยนมาตัดสินกันภายในเกมเดียวที่ คัมป์ นู
- 1971 – หลังการตัดสินใจของสโมสรที่ดึงตัว อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ตำนานแข้ง เรอัล มาดริด เข้ามารับหน้าที่กุนซือ ก็ทำให้พวกเขากลับมาได้แชมป์ ลา ลีกา ได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่แมื่อปี 1947
- 1972 – หลังการคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ก็ทำให้พวกเขาได้ร่วมแข่งในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ เป็นครั้งแรกก่อนที่จะไปได้ไกลจนกระทั่งรอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อูจเปสต์ ทีมดังจาก ฮังการี ทั้งในนัดเหย้าและเยือน โดยในช่วงฤดูกาลนั้นทีมยังคว้าดับเบิ้ลรองแชมป์จากการทำแต้มตามหลัง เรอัล มาดริด แค่เพียง 2 คะแนนหลังจบ 34 นัดในลีก ก่อนที่จะมาพ่ายแพ้ให้กับ แอตเลติโก มาดริด 2-1 ในรายการ สแปนิช คัพ รอบชิงชนะเลิศ
- 1978 – ขุนพลนักเตะเด่นๆของ ไอ้ค้างคาว ในตอนยุคปี 70 ประกอบไปด้วย เคิร์ท ยาร่า มิดฟิลด์จอมทัพชาวฮังการี, จอห์นี่ เรป ปีกขวาชาวดัตช์, ไรเนอร์ บอนฮอฟ กองกลางเท้าหนักชาวเยอรมัน แต่ที่เด่นสุดก็น่าจะเป็น มาริโอ เคมเปส ศูนย์หน้าเลือดฟ้าขาว ผู้คว้าตำแหน่งดาวซัลโว ลา ลีกา ได้ถึง 2 สมัยภายในฤดูกาล 1976-77 และ 1977-78
- 1979 – บาเลนเซีย สามารถคว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ ได้อีกครั้งจากการเหมาคนเดียว 2 ประตูของ เคมเปส ที่ทำให้ทีมสยบ เรอัล มาดริด 2-0 ในนัดชิงที่ บิเซนเต้ กัลเดรอน
- 1980 – ทีมต่อยอดจากการเป็นตัวแทนของผู้ชนะเลิศบอลถ้วยภายในประเทศโดยก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ จากการเผชิญหน้ากับ อาร์เซน่อล ในนัดชิงที่ เฮย์เซล สเตเดี้ยม หลังเสมอกันในเวลา 0-0 และแม้ เคมเปส จะยิงไม่เข้าจากการรับหน้าที่ดวลจุดโทษตัดสินเป็นคนแรก แต่ว่าในที่สุดเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆก็ช่วยกันแก้มือได้สำเร็จก่อนที่จะเป็นฝ่ายเอาชนะคู่แข่งจาก อังกฤษ ไปด้วยสกอร์ 5-4
- 1983 – สโมสรแต่งตั้ง มิลยาน มิลยานิช เข้ามารับหน้าที่กุนซือในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล 1982-83 แต่ภายหลังที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังจนกระทั่งร่วงลงไปอยู่ในอันดับที่ 17 และเสี่ยงต่อการตกชั้น โดยในขณะที่เหลือการแข่งขันอีกเพียงแค่ 7 นัด โกลโด้ อากีร์เร่ ก็ถูกดึงตัวเข้ามาเสียบแทน มิลยานิช จนท้ายที่สุดพวกเขาก็อยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้หลังผลการแข่งขันของทีมหนีตายคู่อื่นๆล้วนเป็นใจ
- 1986 – หลังรอดพ้นการตกชั้นได้อย่างหวุดหวิด ภายใน 2 ฤดูกาลต่อมา บาเลนเซีย ก็ทำได้เพียงแค่ประคับประคองตัวอยู่ใน ลา ลีกา ซึ่งสาเหตุใหญ่ก็มาจากปัญหาหนี้สินอันท่วมท้นจากการบริหารงานของ บิเซนเต้ ตอร์โม่ ประธานสโมสร จนในที่สุดพวกเขาก็ไปไม่รอดและตกชั้นลงไปหลังจบฤดูกาล 1985-86
- 1987 – อาร์ตูโร่ ตูซอน ก้าวเข้ามารับตำแหน่งประธานคนใหม่และดึงตัว อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ กลับมานั่งเก้าอี้คุมทีมอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ เซกุนด้า ดิวิชั่น และเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้ภายในเวลาเพียงแค่ปีเดียว
- 1992 – ภายใต้การคุมทีมของ กุส ฮิดดิ้งค์ ที่เข้ามารับงานเป็นปีแรกทีมกลับมาจบในอันดับที่ 4 ของ ลา ลีกา พร้อมๆกับที่ทางสโมสรเปลี่ยนสภาพไปเป็นรูปแบบบริษัทอย่างเต็มตัว และถัดจากนั้นภายในช่วงเวลาของยุคปี 90 ทีมมีการผลัดเปลี่ยนกุนซือชื่อดังเข้ามาทำหน้าที่หลายต่อหลายคนทั้ง คาร์ลอส อัลแบร์โต้ เปไรร่า ผู้ที่พา บราซิล คว้าแชมป์โลกปี 1994 หรือ หลุยส์ อาราโกนเญส และ ฮอร์เก้ วัลดาโน่ พร้อมกับการดึงตัวสตาร์ดังอย่าง โรมาริโอ, เคลาดิโอ โลเปซ, อาเรียล ออร์เตก้า, อาเดรียน อีลี่, อันโดนี่ ซูบิซาร์เรต้า, โอเล็ก ซาเลนโก้ และ เปแดร็ก มิยาโตวิช เข้ามาแต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยิบจับความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมใดๆได้เลย
- 1999 – ในที่สุดการเข้ามารับงานของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ก็ทำให้ ไอ้ค้างคาว คว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ ได้เป็นครั้งแรกภายในรอบ 20 ปี จากการเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-0 ในนัดชิงชนะเลิศที่ เซบีย่า ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่กับทีมคู่ชิงบอลถ้วยหลังจบฤดูกาลนั้น
- 2000 – แค่เพียงการย้ายเข้ามารับตำแหน่งภายในปีแรก เอคตอร์ คูเปร์ ก็พา บาเลนเซีย ผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยินให้กับ เรอัล มาดริด 3-0 ในนัดชิงที่ สต๊าด เดอ ฟรองซ์ โดยในช่วงซัมเมอร์ปีนั้น ทีมก็ต้องเสีย เคลาดิโอ โลเปซ ไปให้กับ ลาซิโอ รวมถึง ฆาเบียร์ ฟารินอส และ เคราร์ด โลเปซ ที่ออกไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน และ บาร์เซโลน่า ตามลำดับ แต่ว่าทีมก็ได้เซ็นสัญญากับ ยอห์น คาริว, รูเบน บาราฆา, โรแบร์โต้ อยาล่า, บิเซนเต้ โรดริเกซ และรายหลังสุดอย่าง ปาโบล ไอม่า ที่ย้ายเข้ามาในช่วงต้นปีถัดไป
- 2001 – คูเปร์ สามารถพาทีมผ่านเข้าสู่รอบชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นปีลำดับที่สองต่อเนื่องกัน ภายหลังจากปราบ อาร์เซน่อล และ ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายและรอบตัดเชือกตามลำดับ จนได้ไปตัดสินกับ บาเยิร์น มิวนิค และเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 จนต้องดวลจุดโทษตัดสิน และก็เป็น เมาริซิโอ เปเยกรินี่ ผู้ทำหน้าที่เป็นคนที่ 7 ที่ยิงไปโดนโอลิเวอร์ คาห์น เซฟได้เลยทำให้ทีมต้องอกหักเป็นปีที่สองต่อเนื่องกัน หลังจบฤดูกาลนั้น คูเปร์ ก็ถูก อินเตอร์ มิลาน ดึงตัวไปร่วมงานด้วย ในระหว่างที่ กาอิซก้า เมนดิเอต้า กองกลางกัปตันทีมก็ถูกปล่อยตัวไปให้กับ ลาซิโอ ที่กลายเป็นสถิติโลกในเวลานั้น
- 2002 – ราฟาเอล เบนิเตซ ที่พึ่งพา เตเนริเฟ่ กลับเลื่อนชั้นขึ้นมาได้ในฤดูกาลก่อน กลายเป็นตัวเลือกที่ถูกดึงเข้ามาทำหน้าที่เฮดโค้ชแทน จากฟอร์มลุ่มๆดอนๆในช่วงแรกบวกกับการตกรอบ โกปา เดล เรย์ เนื่องจากการทำผิดกฎส่งผู้เล่นนอกอียูเกินโควต้าลงในสนาม จนทำให้มีรายงานว่า เบนิเตซ เกือบจะตกงานในช่วงก่อนเกมที่พบกับ เอสปันญ่อล ซึ่งหลังจากตกเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่ง 2-0 ในครึ่งเวลาแรก แต่ว่าทีมกลับมายิงแซงได้ถึง 3 เม็ดในช่วงครึ่งหลังจึงทำให้เขาได้รับโอกาสไปต่อ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่พาทีมเดินหน้าได้แชมป์ ลา ลีกา เป็นครั้งแรกภายในรอบ 31 ปี จากการเก็บไปได้เพียงแค่ 75 คะแนนและยิงได้เพียงแค่ 51 ประตู
- 2004 – หลังเป็นฝ่ายไล่ตามหลัง เรอัล มาดริด ทีมจ่าฝูงอยู่ถึง 8 คะแนนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ว่าแล้วจู่ๆทีมคู่แข่งของพวกเขาก็เกิดหลุดฟอร์มไปดื้อๆและพ่ายแพ้รวดใน 5 นัดสุดท้าย จนทำให้ บาเลนเซีย แซงขึ้นมาเป็นแชมป์ลีกประเทศสเปนได้เป็นหนที่ 2 ในรอบ 3 ปี นอกจากนี้ทีมยังมีถ้วย ยูฟ่า คัพ มาประดับตู้รางวัลเพิ่มอีกรายการจากการสยบ โอลิมปิก มาร์กเซย 2-0 ในนัดชิงที่ โกเตนเบิร์ก หลังจบฤดูกาลนั้น เบนิเตซ ก็ตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่งเพื่อย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล
- 2008 – หลังการจากไปของ เอล บอส ทีมก็ได้หมุนเวียนใช้งานผู้จัดการทีมมากหน้าหลายตาทั้ง เคลาดิโอ รานิเอปรี่ (รอบที่ 2), อันโตนิโอ โลเปซ, กิเก้ ซานเชซ ฟลอเรส, ออสการ์ เฟร์นานเดซ ก่อนที่จะมาถึง โรนัลด์ คูมัน ที่ถูกดึงตัวมาจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในเดือนพฤศจิกายน 2007 ซึ่งผลงานของทีมก็ไม่ได้ดีขึ้นขึ้นซักเท่าไรซ้ำยังตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 15 แต่ว่าในช่วงกลางเดือนเดือนเมษายน 2008 เขาก็พาทีมเอาชนะ เคตาเฟ่ 3-1 ในนัดชิง โกปา เดล เรย์ และกลายเป็นแชมป์สมัยที่ 7 ของทีม อย่างไรก็ตาม 5 วันหลังจากนั้น คูมัน ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังพาทีมพ่ายแพ้ยับให้กับ แอธเลติก บิลเบา 5-1 ก่อนที่สโมสรจะแต่งตั้ง โบโร่ เข้ามาทำหน้าที่ชั่วคราวและช่วยทำให้ทีมอยู่รอดปลอดภัยด้วยการจบในอันดับที่ 10
- 2009 – ทีมออกสตาร์ทฤดูกาล 2008-09 ได้อย่างคึกคักจากการคว้าชัย 4 จาก 5 เกมแรกภายใต้การคุมทีมของ อูไน เอเมรี่ แต่ภายหลังที่สโมสรออกมาประกาศยอมรับว่าเริ่มจะมีหนี้สินรุงรังกว่า 400 ล้านยูโร ก็ทำให้ผลงานของทีมดร็อปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากมีรายงานว่าเริ่มมีการติดค้างค่าเหนื่อยนักเตะในแต่ละสัปดาห์ จนถึงสโมสรดิ้นรนหาทางออกด้วยการกู้ยืมเงินเข้ามา ก็ทำให้ผลงานเริ่มกระเตื้องขึ้นแต่ว่าท้ายที่สุดทีมก็เสียโอกาสคว้าตั๋วไปลงเตะใน แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังพ่ายแพ้ให้กับ แอตเลติโก มาดริด และ บียาร์เรอัล ภายใน 2 จาก 3 นัดสุดท้ายจนทำให้จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 6
- 2010 – แม้ เอเมรี่ จะพาทีมเข้าป้ายได้ในอันดับที่ 3 แต่เพื่อแก้ไขปัญหาทางการเงิน พวกเขาจะต้องปล่อยขุนพลตัวหลักทั้ง ดาบิด บีย่า แล้วก็ ดาบิด ซิลบา ออกไปให้กับ บาร์เซโลน่า และ แมนฯ ซิตี้ ตามลำดับในช่วงซัมเมอร์
- 2011 – แม้จะพึ่งสูญเสีย 2 ซุปตาร์ออกไปในช่วงต้นฤดูกาล แต่ทีมก็ยังสามารถโชว์ฟอร์มจนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 ได้อีก แต่ครั้งนี้พวกเขาต้องยอมขาย ฆวน มาต้า ออกไปให้กับ เชลซี อีกในช่วงซัมเมอร์เพื่อพยุงสถานะทางบัญชี
- 2013 – เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ถูกแต่งตั้งให้มารับตำแหน่งคุมทีมในช่วงต้นฤดูกาล 2012-13 แต่ว่าภายหลังพาทีมตกรอบแบ่งกลุ่ม แชมเปี้ยนส์ ลีก เขาก็ตัดสินใจลาออก โดยมี มิโรสลาฟ ดูคิช เข้ามาทำหน้าที่แทน ก่อนที่ทีมจะตัดสินใจขาย โรเบร์โต้ โซลดาโด้ ดาวยิงตัวเก่งให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หลังจบฤดูกาลนั้น
- 2014 – หลังการออกสตาร์ทฤดูกาลได้ย่ำแย่ที่สุดภายในรอบ 15 ปี ดูคิช ที่พาทีมเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 6 ครั้งจาก 16 นัดแรกก็ชะตาขาด ก่อนที่ทีมจะแต่งตั้ง ฆวน อันโตนิโอ ปิซซี่ เข้ามาแทนและพาทีมผ่านเข้าไปจนถึงรอบตัดเชือก ยูโรปา ลีก ก่อนที่จะพ่ายให้กับ เซบีย่า ที่กลายเป็นแชมป์ในภายหลัง อย่างไรก็ตามภายหลังการเข้ามาถือครองสโมสรโดย ปีเตอร์ ลิม นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ในช่วงซัมเมอร์ ก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยการดึงตัว นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต เข้ามานั่งเก้าอี้แทน ปิซซี่ ในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่
- 2015 – จากการดึงตัวผู้เล่นอย่าง อัลบาโร่ เนเกรโด้, อันเดร โกเมซ และ เอ็นโซ่ เปเรซ เข้ามาในช่วงซัมเมอร์ก็ช่วยทำให้ นูโน่ พาทีมจบฤดูกาล 2014-15 ได้ในอันดับที่ 4 พร้อมคว้าสิทธิ์ไปลุ้นเตะ UCL ฤดูกาลหน้าในรอบคัดเลือก
- 2016 – แต่จากผลงานการพาทีมชนะ 5 ครั้งจาก 13 เกมแรกพร้อมกับการพ่ายแพ้ โมนาโก ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบเพลย์ออฟ ก็ทำให้ นูโน่ ต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ก่อนที่ทีมจะหันไปจีบ แกรี่ เนวิลล์ ให้เข้ามารับงานต่อ และก็ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นกุนซือของ บาเลนเซีย ที่ทำผลงานในลีกได้ย่ำแย่ที่สุดจากการคว้าชัยได้เพียงแค่ 3 ครั้งจากการลงเล่น 16 นัด จนต้องเปลี่ยนมาให้ ปาโก้ อาเยสตาราน มือขวาของ เนวิลล์ ที่ดึงตัวเข้ามา 1 เดือนก่อนหน้านั้นทำหน้าที่แทน จนพาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 12
- 2017 – หลังสโมสรปล่อยตัว อันเดร โกเมซ และ ปาโก้ อัลกาเซร์ ให้กับ บาร์เซโลน่า ทั้งคู่ พร้อมๆกับ ชโคดราน มุสตาฟี่ ไปอยู่กับ อาร์เซน่อล และดึงตัว เอเซเกล การาย และ นานี่ เข้ามาแทนที่ ปาโก้ ก็ถูกไล่ออกหลังพาทีมเปิดฤดูกาลด้วยการพ่ายแพ้ 4 นัดรวด ก่อนที่ เชซาเร่ ปรันเดลลี่ จะเข้ามารับตำแหน่งต่อแต่ก็อยู่ได้เพียงแค่ 3 เดือนก่อนจะลาออกไปเพราะมีปัญหาผิดใจกับทางผู้บริหาร จนได้ โบโร่ เข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์อีกครั้งและช่วยทำให้ทีมทำผลงานกระเตื้องขึ้นจากที่อยู่เหนือพื้นที่สีแดงจนถึงจบฤดูกาลได้ในอันดับที่ 12
- 2018 – บาเลนเซีย ประกาศแต่งตั้ง มาร์เซลิโน่ อดีตกุนซือของ บียาร์เรอัล ในช่วงก่อนออกสตาร์ทฤดูกาล 2017-18 ซึ่งเขาก็สามารถพาทีมจบในอันดับที่ 4 พร้อมคว้าสิทธิ์กลับไปลงเตะในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง
ชุดการแข่งขันของบาเลนเซีย
ชุดแข่งขันของ บาเลนเซีย จะมีการออกและดูแลโดยหลายๆแบรนด์ ซึ่งตอนแรกของสมาคมเป็นชุดที่ออกแบบโดย Adidas และเริ่มมีผู้สนับสนุนมาช่วยเหลือครั้งแรกเมื่อปี 1985 ซึ่งก็คือ Caja Ahorros Valencia ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะมีสีประจำสโมสรอยู่ที่เสื้อทุกรุ่นที่ได้ผลิตออกมา รวมทั้งปัจจุบันในช่วงฤดูกาล 2017-2018 นี้ ก็ได้ Adidas เป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้เช่นเดิม โดยชุดเหย้านั้นเป็นสีขาว แถบตรงคอ และแขนเสื้อเป็นสีดำ ส่วนชุดเยือนนั้น ใช้เป็นสีประจำสโมสร มีแถบไหล่ คอ และก็ปลายเสื้อที่มีสีฟ้า
ตราสโมสรของบาเลนเซียคือ ไอ้ค้างคาว
ตราสโมสร ของทีม บาเลนเซีย สเปน ดูเผิน ๆ แล้วจะทำให้นึกถึง ไอ้แบทแมน ข้างบนของ ตราสโมสร จะมี รูปค้างคาวที่เป็นที่มาของสโมสร และมีสีประจำสโมสรอยู่ในนั้นด้วย จากอดีตถึงปัจจุบันไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่
รายชื่อนักเตะชุดปัจจุบันของสโมสรบาเลนเซีย
เบอร์เสื้อ | นักเตะ | ตำแหน่ง | สัญชาติ | อายุ |
1 | ฆวาเม่ โดเมเนก | ผู้รักษาประตู | สเปน | 30 |
25 | คริสเตียน ริเบโร่ | ผู้รักษาประตู | สเปน | 22 |
13 | ยาสเปอร์ ซิลเลสเซ่น | ผู้รักษาประตู | เนเธอร์แลนด์ | 31 |
3 | อันโตนิโอ ลาตอร์เร่ | กองหลัง – แบ็คซ้าย | สเปน | 23 |
14 | โฆเซ่ กาย่า | กองหลัง – แบ็คซ้าย | สเปน | 25 |
5 | กาเบรียล เปาลิสต้า | กองหลัง – เซ็นเตอร์แบ็ค | สเปน | 30 |
15 | อูโก้ กียาม่อน | กองหลัง – เซ็นเตอร์แบ็ค | สเปน | 20 |
4 | เอเลียกิม ม็องกาล่า | กองหลัง – เซ็นเตอร์แบ็ค | ฝรั่งเศส | 29 |
12 | มุคตาร์ เดียกาบี้ | กองหลัง – เซ็นเตอร์แบ็ค | ฝรั่งเศส | 24 |
2 | เธียร์รี่ กอร์เรยอา | กองหลัง – แบ็คขวา | โปรตุเกส | 21 |
18 | แดเนียล วาสส์ | กองหลัง – แบ็คขวา | เดนมาร์ก | 31 |
8 | การ์ลอส โซเลร์ | กองกลาง – มิดฟิลด์ตัวกลาง | สเปน | 24 |
19 | อูรอส ราซิช | กองกลาง – มิดฟิลด์ตัวกลาง | เซอร์เบีย | 22 |
7 | กอนซาโล่ กูเอเดส | ตัวรุก – ปีกซ้าย | โปรตุเกส | 24 |
37 | อเล็กซ์ บลังโก้ | ตัวรุก – ปีกซ้าย | สเปน | 22 |
21 | มานู บาเยโฆ่ | ตัวรุก – ปีกซ้าย | สเปน | 23 |
17 | เดนิส เชอรีเชฟ | ตัวรุก – ปีกซ้าย | รัสเซีย | 30 |
20 | ลี คัง อิน | กองกลาง – ตัวรุก | เกาหลีใต้ | 19 |
23 | เจสัน | ตัวรุก – ปีกขวา | สเปน | 26 |
30 | ยูนูส มูซ่าห์ | ตัวรุก – ปีกขวา | สหรัฐอเมริกา | 18 |
11 | รูเบน โซบริโน่ | ตัวรุก – ตัวเป้า | สเปน | 28 |
22 | มักซี่ โกเมซ | ตัวรุก – ตัวเป้า | อุรุกวัย | 24 |
9 | เควิน กาไมโร่ | ตัวรุก – ตัวเป้า | ฝรั่งเศส | 33 |
ผลงาน แชมป์ ของ บาเลนเซีย
ได้แชมป์ ลาลีกา สเปน (6 สมัย) 1941–42, 1943–44, 1946–47, 1970–71, 2001–02, 2003–04.
แชมป์ โกปาเดลเรย์ (7 สมัย) 1940–41, 1948–49, 1953–54, 1966–67, 1978–79, 1998–99, 2007–08.
ได้แชมป์ ซูเปอร์ โกปา เด เอสปาญา (1 สมัย) 1999
แชมป์ซูเปอร์ โกปา เด เอสปาญา (1 สมัย) 1949
ได้แชมป์ เซกุนดา ดิวิชั่น (2 สมัย) 1930–31, 1986–87.
แชมป์ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ (1 สมัย) 1979–80.
แชมป์ยูฟ่าคัพ (1 สมัย) 2003–04.
แชมป์แฟร์ส คัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่าคัพ)(2 สมัย) 1961–62, 1962–63.
แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (2 สมัย) 1980, 2004.
แชมป์ ยูฟ่า อินเตอร์ โตโตคัพ (1 สมัย) 1998
ทำเนียบ ถ้วยแชมป์ ของ บาเลนเซีย ค่อนข้างที่จะกวาดแชมป์ในแต่ละรายการมามากมาย ซึ่งผลงานเหล่านี้สะสมมาด้วยระยะเวลานาน ไม่น่าแปลกที่แฟนๆของสโมสรจะเหนียวแน่น และตามเชียร์พวกเขาอย่างล้นหลาม
อะไรคือปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จของสโมสรบาเลนเซีย
- เริ่มต้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว เมื่อ มาติเยอ อเลมานี่ อดีตประธานสโมสร เรอัล มายอร์ก้า ผู้มากบารมี ถูกแต่งตั้งให้รับบทบาทผู้อำนวยการทั่วไปให้สโมสรเมื่อเดือนมีนาคม ก่อนที่จะให้หลังอีกเดือนเดียว อานิล เมอร์ตี้ จะเข้ามานั่งเก้าอี้บริหารในฐานะประธานคนใหม่ อเลมารี่ รู้ดีว่า ถ้า บาเลนเซีย ต้องการจะกลับไปสู่วันชื่นคืนสุขเก่า ไม่ใช่แค่ผู้ฝึกสอนคนใหม่ซึ่งสามารถจัดตั้งแท็กติกที่เหมาะสมให้กับทีมได้เท่านั้น ถ้าเกิดแต่พวกเขายังอยากได้ใครสักคนที่พร้อมเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานแบบเดิมๆเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติ
- ว่าแล้ว มาร์เซลิโน่ การ์เซีย โตรัล ก็เลยถูก อเลมานี่ ดึงเข้ามาช่วย หลังทำงานให้ บียาร์เรอัล นานถึงสี่ปี ผู้ฝึกสอนคนใหม่ เข้ามาล้างบางทีม พร้อมกับให้ความสำคัญกับผู้เล่นจากอคาเดมี่มากขึ้น โดยผสมผสานแข้งเก๋าประสบการณ์กับเลือดใหม่ที่พุ่งพล่านอย่างลงตัว หน้าเก่าอย่าง นานี่, เอ็นโซ่ เปเรซ, อัลบาโร่ เนเกรโด้ แล้วก็ ดีเอโก้ อัลเวซ ถูกโละ ในเวลาที่พวกหน้าใหม่อย่าง ซิโมเน่ ซาซ่า, กาเบรียล เปาลิสต้า, กูเอเดส (ยืมตัว), เจฟฟรีย์ กงด๊อกเบีย, เจสัน มูริลโล่ รวมทั้ง อันเดรียส เปไรร่า ดาวรุ่งดีกรีทีมชาติบราซิลรุ่น ยู 23 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกดึงเข้ามาสู่วังค้างคาวทั้งแบบซื้อขาด แล้วก็ยืมตัว มาร์เซลิโน่ ล็อคสเปคไว้เลยว่า นักเตะใหม่ ต้องอายุไม่เกิน 26 ปี แต่เวลาเดียวกัน ดูแล้วควรต้องมีศักยภาพซึ่งสามารถปรับปรุงไปต่อได้ เมื่อจับมาขยำรวมกับศิษย์เก่าโรงเรียนลูกหนังค้างคาวมาแล้วอย่าง การ์ลอส โซเลร์ แล้วก็ โรดริโก้ ทุกอย่างก็เลย “คลิก”
- “ไอ้ค้างคาว” ในวันนี้ เล่นเหมือนติดปีกบิน ต่อบอลกันรวดเร็วทันใจ ตอบโต้กลับเด็ดขาด รวมทั้งมั่นใจว่า การครอบครองบอลไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะแม้ว่าจะได้คอนโทรลเกม แต่ไม่มีประตู ก็ไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นการขึ้นเกมรุกที่ทรงพลังโดยมีประตูกลับมาต่างหาก เป็นสิ่งจำเป็น มาร์เซลิโน่ ชอบให้ลูกทีมจู่โจมคู่แข่ง เขาก็เลยเน้นมากเรื่องพละกำลัง ความแข็งแกร่งของสภาพร่างกาย แล้วก็เน้นละเอียดไปถึงนักโภชนาการผู้ดีไซน์มื้ออาหารให้นักฟุตบอล เสียบอล ก็ต้องรีบแย่งคืนโดยด่วน ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจำต้องเคลื่อนไหวเป็นองคาพยพ การเปลี่ยนเกมรับให้เป็นเกมรุกอย่างเร็ว เป็นอุบายทีเด็ดของ มาร์เซลิโน่
- บาเลนเซีย กลายเป็นทีมที่เล่นแบบดุเดือดด้วยทัศนคติการเล่นแบบใหม่ที่ มาร์เซลิโน่ ปลูกฝังให้ รับรองด้วยค่าเฉลี่ยแนวทางการทำฟาวล์ที่มากสุดในลีก แต่ว่าใครเล่าจะแคร์ ในเมื่อพวกเขากำลังส่งสัญญาณว่า วันดีคืนดีเดิม ๆ กำลังจะกลับสู่ เมสตาย่า อีกครั้ง