หลังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้การนำทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่พาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ เมื่อฤดูกาล 2009-2010 อินเตอร์ มิลาน ต้องใช้เวลานานถึง 13 ปีเต็มกว่าจะกลับมาเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อีกครั้ง
“งูใหญ่” จากดินแดนรองเท้าบูต เพิ่งปราบอริร่วมเมืองอย่าง เอซี มิลาน มาแบบเอกฉันท์ เอาชนะได้หมดทั้งเหย้าและเยือนด้วยสกอร์รวม 3-0 คู่ควรอย่างยิ่งที่จะได้เดินทางเข้าสู่รอบไฟนอลที่ตุรกี
การเดินทางของ อินเตอร์ ถือว่าเหนือความคาดหมาย หากดูจากการออกสตาร์ตที่แกว่งไปแกว่งมา ในเซเรีย อาพวกเขาแพ้ 4 จาก 8 เกมแรก ขณะที่ ยูซีแอล ก็เปิดบ้านด้วยการปราชัยคาบ้านต่อ บาเยิร์น มิวนิค 0-2
แม้กระทั่งสาวก “เนรัซซูรี่” ก็แทบไม่เชื่อสายตาว่าทีมชุดนี้กำลังมีลุ้นดับเบิ้ลแชมป์ เพราะนอกจากยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขายังได้เข้าไปป้องกันแชมป์โคปป้า อิตาเลีย กับ ฟิออเรนติน่า อีกรายการ
ความดีความชอบส่วนใหญ่ยังไงก็ต้องยกให้กับ ซิโมเน่ อินซากี้ เฮดโค้ชมาดเนี้ยบของทีม ที่ต้องบอกว่าเส้นทางในฤดูกาลนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย มีกระแสเชียร์ให้ถูกปลดออกจากตำแหน่งถึง 2 ครั้ง 2 ครา
หนแรกคือการออกสตาร์ตซีซั่นที่ย่ำแย่ และอีกครั้งระหว่างเดือนมีนาคม- เมษายน ที่เอาชนะใครในลีกไม่ได้ 5 เกมติดต่อกัน แถมแพ้ถึง 4 เกม ทว่า อินซากี้ ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้แบบหวุดหวิดมาตลอด
การรับไม้ต่อจากยอดกุนซืออย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ ที่พา อินเตอร์ คว้าสคูเด็ตโต้ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปีเป็นโจทย์ที่ยากมากๆ ซีซั่นแรกในถิ่นซาน ซีโร่ กุนซือวัย 47 ปีไม่สามารถพาทีมป้องกันแชมป์ได้ แต่ยังดีที่มี โคปป้า อิตาเลีย เป็นรางวัลปลอบใจ
ดังนั้นซีซั่นที่ 2 ความคาดหวังจากแฟนบอลจึงสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่แปลกใจเลยที่พอทีมออกทะเล ไม่ชนะใคร 3-4 เกมติดๆ กัน ก็มักจะมีข่าวการเปลี่ยนแปลงกุนซือของทีม “งูใหญ่” อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ซิโมเน่ อินซากี้ ใช้ผลงานในสนามพิสูจน์ตัวเอง เขาเป็นกุนซืออิตาเลี่ยน คนที่ 2 ที่สามารถพา อินเตอร์ เข้าชิงยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ต่อจาก จิโอวานนี่ อินแวร์นิซซี่ ที่เคยทำได้ในปี 1972
ตั้งแต่หมดยุคของ มูรินโญ่ ยอดทีมจากเมือง มิลาน กลายเป็นเพียงตัวประกอบในเวทียุโรป เปลี่ยนกุนซือมาแล้วมากหน้าหลายตาแต่ไปไกลที่สุดก็แค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ช่วงหลังยิ่งแย่หนักไม่ได้เข้าร่วม 6 ฤดูกาลติดต่อกัน
พอได้คัมแบ็กอีกครั้งในปี 2018 ก็ตกรอบแบ่งกลุ่ม 3 ซีซั่นรวด ขนาดมียอดกุนซืออย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ กุมบังเหียนสภาพศพก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเลย
ดังนั้นการที่ ซิโมเน่ อินซากี้ สามารถพาทีมเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกครั้ง ยังไงก็ต้องยกให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ไม่ว่าบทสรุปสุดท้ายจะได้ หรือ ไม่ได้แชมป์ก็ตาม
“ผมภูมิใจที่ได้อยู่สโมสรแห่งนี้ ผมถูกร้องขอเมื่อ 19 เดือนก่อนตอนเข้ารับตำแหน่ง ให้พาทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นสิ่งที่สโมสรไม่เคยทำได้ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา” อินซากี้ เปิดใจหลังชนะ มิลาน 1-0
ด้าน สตีเวน จาง ประธานสโมสรก็ออกมาชื่นชมผลงานของกุนซือวัย 47 ปีว่า “ผมเคยทำงานกับโค้ชมาหลายคน แน่นอน อินซากี้ นั้นพิเศษมาก เขานิ่งในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าชนะหรือแพ้ เขาสุขุมเสมอ นั้นคือคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของเขา”
สมัยเป็นนักเตะ อินซากี้ อาจเคยพา ลาซิโอ คว้าแชมป์เซเรีย อา 1 สมัย และโคปป้า อิตาเลีย อีก 3 สมัย แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากเทียบกับพี่ชายแท้ๆ อย่าง ฟิลิปโป้ อินซากี้ เขาเป็นเพียงแค่เงาที่แทบจะไม่มีใครพูดถึงเลย
แต่เส้นทางกุนซือมันเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เพราะ อินซากี้ คนพี่ตั้งแต่เริ่มต้นคุมใหญ่อย่าง เอซี มิลาน โปรไฟล์หลังจากนั้นดูจะถอยหลังลงคลอง ปัจจุบันวนคุมทีมอยู่แค่ในระดับ เซเรีย บี
ผิดกับ ซิโมเน่ น้องชายที่มาตรฐานดี ได้แชมป์โคปป้า อิตาเลีย กับทั้ง ลาซิโอ และ อินเตอร์ ช่วงที่พีกๆ กับ “อินทรีฟ้าขาว” เคยตกเป็นข่าวว่าอาจไปคุมทีมใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแล้ว
ชื่อเสียงของ อินซากี้ จะโด่งดังเป็นพลุแตกมากกว่านี้อีก หากเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลนี้ ถึงแม้จะเป็นมวยรอง แต่ฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ เนี่ยแหละเสน่ห์ของฟุตบอล